Scope of Knowledge นี้ จะอธิบายถึงบทบาทของธุรกิจที่ให้ความสำคัญต่อการนำเอาประเด็นทางสังคมมาสร้างเป็นส่วนประกอบในการกำหนดประเด็นทางยุทธศาสตร์ธุรกิจและเศรษฐกิจ ตามทฤษฎีการสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคมของ Michael E. Porter & Mark R. Kramer
ความเข้าใจเบื้องต้น
Michael E. Porter และ Mark R. Kramer ได้เคยศึกษาบทบาทของธุรกิจกับสังคม ในปี ค.ศ. 2002 มีผลงานเรื่อง The Competitive Advantage of Corporate Philanthropy ซึ่งได้แนะนำให้บริษัท ยอมรับในผลประโยชน์ทางภาพลักษณ์และความเชื่อถือจากสังคม ที่เกิดจากการบริจาคและการช่วยเหลือทางสังคม (Philanthropy) เป็นผลประโยชน์ทางอ้อมที่จะนำไปสู่ความภักดีขององค์กรและการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ บริการ รวมทั้งความร่วมมืออื่น ๆ มิใช่การให้เปล่าแบบไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนตามที่มักจะกล่าวอ้างและประชาสัมพันธ์ แทนที่จะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ก็ควรที่จะได้มีกลยุทธ์ว่าด้วยการสนับสนุนช่วยเหลือ (Strategic Philanthropy) เพื่อให้การดำเนินงานดังกล่าวบรรลุจุดมุ่งหมาย และใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ (Porter & Kramer, 2002)
ต่อมา Porter & Kramer ได้แนะนำให้กิจการบริษัทพัฒนางานตามความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) ตามผลงานเรื่อง Strategy and Society, The Link Between Competitive Advantage and Corporate Social Responsibility ในปี 2006 เขาเสนอให้บริษัทไปเชื่อมโยงเข้ากับความต้องการของสังคมทั้งในระดับชุมชนหรือสังคมทั่วไป เป็นการพัฒนาการจัดการงานความรับผิดชอบต่อสังคมแบบเชิงรับ (Responsive CSR) ไปสู่การจัดการเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic CSR) ด้วยการยึดโยงกับ “ผลการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมของห่วงโซ่คุณค่า” (Value Chain Social Impacts) ยกตัวอย่าง จากการช่วยเหลือสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนการสอน และดำเนินงานกิจกรรม CSR ร่วมกับโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาในสหรัฐ อเมริกา 5 โรง ของ GE ด้วยงบประมาณแบบ In-kind ในวงเงิน 250,000-1,000,000 เหรียญสหรัฐต่อปี ผลการดำเนินงานโครงการ ได้ทำให้คุณภาพของการจัดการศึกษาระหว่างปี ค.ศ. 1989-1999 เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ในขณะที่คุณภาพการศึกษาในระดับมัธยมปลายของสหรัฐอเมริกาโดยภาพรวม 80% แย่ลง GE ได้วิเคราะห์ผลผลิตและผลลัพธ์ของโครงการแล้วไปอ้างอิงเป็นสาระสำคัญของการจัดทำ Global Reporting Initiative: GRI โดยชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของงาน CSR กับการแก้ปัญหาของสังคมโดยรวม ตามภาพที่ 4.1 (Porter & Kramer, 2006)

การสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคม
Porter & Kramer ได้พัฒนาทฤษฎี Creating Shared Value ตามบทความเรื่อง Creating Shared Value, How to reinvent capitalism and unleash a wave of innovation and growth ที่เผยแพร่ในปลายปี 2011 ด้วยการนำเสนอให้สร้างสรรค์คุณค่าใหม่ ๆ ขึ้นในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการพิจารณาองค์ประกอบของความเป็นไปได้ของการสร้างสรรค์ใน 3 เรื่องด้วยกัน คือ หนึ่ง ความจำเป็นทางสังคม (Social Needs) ที่ยังไม่มีการแก้ไข เพื่อนำไปสู่การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน (2) ทักษะ ประสบการณ์ และทรัพยากรของบริษัท (Corporate Assets and Expertise) อันเป็นส่วนประกอบของทุนในเบื้องต้นที่สำคัญต่อการแสดงความสามารถและความพร้อมของบริษัทที่จะทำให้เกิดเป็นผลสำเร็จ และ (3) การท้าทายและโอกาสของธุรกิจ (Business Opportunity & Challenge) ที่จะทำให้การแก้ปัญหาสังคมนั้น สร้างคุณค่าตามนัยของการคลี่คลายปัญหา และสร้างความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจไปพร้อมกันอีกด้านหนึ่ง (Porter & Kramer, 2011)
Porter & Kramer (2011) ระบุว่า Shared Value เป็นนโยบายและการปฏิบัติการจริงที่ยกระดับความสามารถการแข่งขันของบริษัท พร้อมกับกระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้าของเศรษฐกิจและความเกี่ยวข้องกับสังคมในระดับชุมชน ไม่ใช่การแบ่งปันคุณค่าตามรูปแบบของการช่วยเหลือการกุศล (Philanthropy) ช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว (Personal Values) การไกล่เกลี่ยผลประโยชน์กับผู้มีส่วนได้เสีย (Balancing Stakeholder Interests) และการปฏิบัติตามเงื่อนไขกำหนดของท้องถิ่น (Compliance with Local Regulations)

Porter & Kramer (2011) ชี้ว่า พื้นที่ที่เปิดโอกาสของการสร้างสรรค์คุณค่าของธุรกิจคู่สังคม ประกอบ ด้วย 3 พื้นที่ด้วยกัน คือ (1) การทบทวนประโยชน์และความทั่วถึงที่ผู้บริโภคได้รับจากผลิตภัณฑ์และการตลาด (Reconceiving Products and Markets) (2) การปรับนิยามผลิตภาพในห่วงโซ่คุณค่า (Redefining Productivity in the Value Chains) และ (3) การผนึกแน่นของกิจการธุรกิจกับพัฒนาเชิงคลัสเตอร์ท้องถิ่น (Enabling Local Cluster Development)
เพื่อเป็นการทำความเข้าใจต่อการสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคมตาม Porter & Kramer ข้างต้นให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในที่นี้ ขอสรุปวิวัฒนาการของแนวคิดการสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคม ตามตารางที่ 4.1พร้อมยกตัวอย่างการสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคมในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้ง 3 พื้นที่ โดยมีตัวอย่างการวิเคราะห์โอกาสของแต่ละอุตสาหกรรม ตามตารางที่ 1 ดังนี้


(1) การทบทวนประโยชน์และความทั่วถึงที่ผู้บริโภคได้รับจากผลิตภัณฑ์และการตลาด
การสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคมในพื้นที่นี้ เป็นเรื่องการกระจายผลิตภัณฑ์และบริการไปยังผู้บริโภคในระบบเศรษฐกิจการตลาด หรือการมีโอกาสเข้าถึงซึ่งอรรถประโยชน์ของผลิตภัณฑ์และสินค้า เพราะว่าแต่ละผลิตภัณฑ์และบริการ ล้วนแต่เกิดขึ้นจากการออกแบบเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคเป็นลำดับเบื้องต้น ดังนั้น ความทั่วถึงและการเข้าถึงซึ่งผลิตภัณฑ์และบริการ ย่อมจะหมายความถึง การนำพาซึ่งการตอบสนองต่อการแก้ปัญหาสังคมตามไปด้วยเป็นเบื้องต้น ดังนั้น หากมีการดำเนินงานให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์และบริการมากเท่าใด ย่อมจะเกิดคุณค่าต่อการตอบสนองต่อการแก้ปัญหาของสังคมมากขึ้นเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ก็สร้างรายได้ให้กับธุรกิจนั้นไปด้วยเช่นกัน เช่น การรณรงค์การใช้งานสบู่ Lifebuoy ของ Unilever ในอินเดีย สบู่ได้มีส่วนทำให้อัตราการเจ็บป่วยจากโรคท้องร่วงและปอดบวมในอินเดียลดลง หรือการรณรงค์ให้คนจนจัดตั้งกลุ่มเพื่อการพึ่งตนเอง (Self-Help Group: SHG) แล้วระดมเงินออมให้มีความต่อเนื่องเพื่อใช้เป็นเครดิตในการกู้ยืมและเบิกวัสดุสำหรับการสร้างบ้านอยู่อาศัยของ Cemex ที่รู้จักกันดีในชื่อ Patrimonio Hoy (Prahalad, 2005) จะเห็นได้ว่า โรคท้องร่วงและปอดบวมของคนอินเดีย และปัญหาที่อยู่อาศัยชาวเม็กซิโกที่มีโอกาสผ่อนคลายลง มีความเกี่ยวข้องกับผลการทำงานของผลิตภัณฑ์และบริการ อันเป็นบทบาทธุรกิจเอกชนที่สร้างสรรค์ประโยชน์ให้ทั่วถึง ทั้งเรื่องของสบู่-สุขภาวะของผู้บริโภค และการสร้างบ้านจากวัสดุก่อสร้างที่บวกรวมด้วยการรวมกลุ่ม และการออม (อันเป็นการสร้างหลักประกันสำหรับการผ่อนชำระการซื้อขายวัสดุก่อสร้าง) ที่สร้างสรรค์เป็นกระบวนการสนับสนุนให้มีการเข้าถึงซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านั้น
การสร้างสรรค์ธุรกิจของเอกชนที่มีส่วนร่วมต่อการแก้ปัญหาสังคมไปกับการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการข้างต้น ยังจะเห็นได้จากการบริการคนจนที่มีโรคเกี่ยวกับตาและการมองเห็นของโรงพยาบาล The Aravind Eye (Prahalad, 2005) M-PESA ของ Vodafone ซึ่งเป็นการใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่บวกรวมบริการ Mobile-banking และร้านค้าในชุมชนให้เป็นที่เบิก ถอน เงินสดแทนสาขาธนาคาร (และตู้เอทีเอ็ม) เพื่อสร้างการไหลเวียนทางการเงินและเศรษฐกิจ และก้าวข้ามอุปสรรคจากการเดินทางเพื่อทำธุรกรรมทางการเงินของประชาชนในพื้นที่ชนบทในเคนยา บริการดังกล่าวทำให้ Vodafone มีลูกค้าใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากถึง 10 ล้านคน ในเวลาเพียง 3 ปี หรือการที่ Intel และ IBM ได้นำเอาเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารไปพัฒนาบริการให้มีการใช้งานที่เป็นประโยชน์สำหรับการทำงาน (และขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสังคม) มากกว่าการใช้ประโยชน์เพียงความสะดวกสบาย การแสดงฐานะทางสังคม และแฟชั่นนิยม (Porter & Kramer, 2011)
(2) การจัดการผลิตภาพของห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจตามนิยามใหม่
การจัดการผลิตภาพของห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ เป็นการจัดการเชิงระบบ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงระบบการผลิต และระบบการบริหารจัดการที่นำไปสู่การสร้างผลความสำเร็จใหม่ที่ดี กว่าเดิม เช่น ผลงานของ Walmart เมื่อปี ค.ศ. 2009 ที่เกิดขึ้นจากการทบทวนเส้นทาง ชนิดสินค้า และตำแหน่งคลังสินค้า เพื่อจัดเป็นระบบการบริหารงานที่สร้างประโยชน์ให้กับบริษัทมากที่สุด ต้นทุนต่ำที่สุด และสามารถกำกับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทบทวนงานในครั้งนั้น Walmart ได้ลดต้นทุนการขนส่งโดยรถบรรทุก ลงไปถึง 100 ล้านไมล์ และปรับเพิ่มการขนส่งทางเรือโดยที่ค่าใช้จ่ายยังคงเท่าเดิม (อันทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากต้นทุนค่าขนส่งในรายการนี้ 200 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา พร้อมกันนั้น ยังลดการใช้พลาสติกบรรจุหีบห่อและนำไปสู่การลดต้นทุนการจัดการขยะตามไปด้วย การดำเนินงานตามโครงการนี้ นอกจากบริษัทจะลดต้นทุนแล้ว ยังได้รับผลลัพธ์และคุณค่าที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยภาพรวมไปพร้อมกันอีกด้วย
การจัดการผลิตภาพของห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจในทำนองเดียวกับ Walmart ยังจะเห็นตัวอย่างได้จากกรณีของ Mark & Spencer ที่ยกเลิกการสั่งซื้อสินค้ามาจากพื้นที่ห่างไกลอีกซีกโลกหนึ่งไปจำหน่ายอีกซีกหนึ่ง แล้วหันมาส่งเสริมการจัดหาสินค้าในพื้นที่ใกล้เคียง แม้ว่าแหล่งเดิมจะอาศัยการขนส่งทางเรือที่มีต้นทุนต่ำก็ตาม แต่การขนส่งดังกล่าวเป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อันเป็นสาเหตุของการเกิดสภาวะเรือนกระจก หรือการลดการใช้น้ำดิบในระบบการผลิตของ Coca-Cola (ที่มีเป้าหมายลดการใช้น้ำลงไปได้ถึง 20% ในปี ค.ศ. 2012 เทียบกับปี ค.ศ. 2004) และ Dow Chemical (ที่ลดการใช้น้ำดิบลงไปถึง 1 ล้านแกลลอน ซึ่งน้ำจำนวนนี้สามารถนำไปใช้ผลิตน้ำประปารองรับการบริโภคได้ถึง 40,000 คนต่อปี) รวมทั้งการสร้างสรรค์เทคโนโลยีการชลประทานระบบน้ำหยดของ Jain Irrigation
การผลิตกาแฟคุณภาพสูง จนนำไปสู่การสร้างรายได้ที่ดีขึ้นของเกษตรกรและเศรษฐกิจชนบทของแอฟริกาและลาตินอเมริกา พร้อมกับสร้างผลิตภัณฑ์ Nespresso ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์และธุรกิจใหม่ของ Nestle’ และสร้างยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องกันไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 จนถึงปี ค.ศ. 2011 หรือการกระจายสินค้าไปยังชุมชนระดับหมู่บ้านโดยการสร้างกลไกการตลาดขึ้นใหม่ที่ผสมกันระหว่างร้านค้าชุมชน การรวมกลุ่มแบบ SHP และการขายตรง (Direct Sales) ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Project Shakti ของ Hindustan Unilever การปรับปรุงและปรับเปลี่ยนระบบงานของ Johnson & Johnson ที่นำเอาเรื่องของการเพิ่มรายได้มาสร้างเป็นแรงจูงใจในการเลิกสูบบุหรี่ การสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจและสังคมจากการจัดการในรัศมีการทำงานของศูนย์กระจายสินค้าที่สามารถกำกับราคาสินค้าไม่ให้แพงของ Walmart การจัดตั้งโรงงานขนาดเล็กเพื่อรองรับความต้องการทางการตลาดของ Nestle’ การย้ายฐานการผลิตโรงงานเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากเอเชีย ไปยังแอฟริกาของ Olam International ที่ทำให้เกิดการจ้างงานขึ้นใหม่ทั้งในแทนซาเนีย โมซัมบิก ไนจีเรีย และไอวอรี่ โคสต์ ในขณะเดียวกัน บริษัทก็สร้างประโยชน์ใหม่จากการขนส่งทางเรือที่เปลี่ยนจากขนส่งวัตถุดิบมาเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปแล้วซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าเดิม (Porter & Kramer, 2011)
(3) การผนึกแน่นของกิจการธุรกิจกับพัฒนาเชิงคลัสเตอร์ท้องถิ่น
การจัดการความสัมพันธ์ของธุรกิจกับพัฒนาเชิงคลัสเตอร์ท้องถิ่น เป็นเรื่องของการนำเอาทรัพยากร ความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญของบริษัท ไปร่วมพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในท้องถิ่น เช่น Nestle’ ที่ปรับเปลี่ยนการผลิตกาแฟคุณภาพสูงของชาวไร่กาแฟ ในทางปฏิบัติ บริษัทได้พัฒนาร่วมกับหลายฝ่าย และใช้เวลาในการพัฒนาทั้งกลุ่มที่ปรึกษา กลุ่มเกษตรกร รัฐบาลท้องถิ่น มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ทั้งด้านเกษตรกรรม การเงิน (การจัดรายได้และรายจ่ายครัวเรือน) เทคโนโลยี การขนส่ง และการพัฒนาทักษะและความสามารถ เป็นโครงการที่มีการสร้างความรู้ความเข้าใจ การพัฒนาทักษะ ความสามารถ ทั้งเรื่องการเกษตรตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ดิน ปุ๋ย และอุปกรณ์การชลประทานสำหรับการปลูกกาแฟ การนำเอาความรู้จากเรื่องของกาแฟ และการชลประทานไปใช้จัดการต่อพืชคุณภาพสูงชนิดอื่น เช่น พืชตระกูลถั่ว อันเป็นกระบวนการความสัมพันธ์ทางสังคมในระดับชุมชน ที่มีการแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ ในลักษณะเดียวกับชุมชน ICTs ที่ซิลิคอนวัลเลย์ในสหรัฐอเมริกา หรือชุมชนทางกายภาพของเมืองสุรัตในอินเดียที่ประกอบธุรกิจเจียระไนเพชร และชุมชนผู้ผลิตและเก็บเกี่ยวดอกไม้ในเคนยา (Porter & Kramer, 2011)
การสนับสนุนและสร้างคลัสเตอร์ธุรกิจอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การร่วมลงทุนของ Yara International กับรัฐบาลแทนซาเนีย จำนวน 60 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการสร้างถนนและท่าเรือในโครงการ Southern Agricultural Growth Corridor of Tanzania การร่วมพัฒนาโครงการท่าเรือและคลังสินค้าที่ Mozambique ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งรัฐบาลนอร์เวย์ กับรัฐบาลประเทศท้องถิ่น Yara ได้ร่วมสนับสนุนโครงการเหล่านี้ด้วยเพราะจะเกิดประโยชน์สำหรับเกษตรกรรายย่อยที่เป็นลูกค้าของบริษัทมากกว่า 200,000 ราย และสร้างงานขึ้นใหม่ในท้องถิ่นได้มากกว่า 350,000 ราย การร่วมพัฒนาเศรษฐกิจเชิงคลัสเตอร์ธุรกิจของการเกษตรข้างต้น เป็นการสร้างสรรค์โครงสร้างใหม่และโอกาสของระบบเศรษฐกิจเกษตร ชนบท เศรษฐกิจท้องถิ่น เศรษฐกิจในประเทศ และระหว่างประเทศให้เกิดขึ้นอย่างมหาศาล นอกจากนั้นยังสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาค เอกชน ที่จะนำไปสู่ผลการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน รวมทั้งจะนำไปสู่การพัฒนาร่วมกันในมิติการจัดการข้อมูลและความรู้ทั้งเรื่องของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารอีกลำดับหนึ่งด้วย (Porter & Kramer, 2011)
การสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคมนี้ มีผลการศึกษาที่เป็นข้อเสนอถึงความเป็นไปได้ในการสร้างคุณค่าธุรกิจคู่สังคมในแต่ละอุตสาหกรรม ตามตารางที่ 2


กรณีศึกษาผลและกระบวนการสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคม
การสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคมตามทฤษฎีที่สถาปนาขึ้นโดย Michael Porter and Mark Kramer เมื่อปี ค.ศ. 2011 ที่ค้นพบว่า คุณค่าที่มีการสร้างขึ้นโดยธุรกิจและสร้างผลตอบแทนทั้งด้านธุรกิจและสังคมควบคู่กันแล้ว ยังสร้างความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาวให้กับธุรกิจนั้นอีกมิติหนึ่งด้วย จะเห็นได้จาก Dow Chemical ลดไขมันทรานส์ (Trans fats) และกรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fats) จากระบบสารอาหารที่ผลิตและจำหน่ายในสหรัฐอเมริกามากถึง 600 ล้านกิโลกรัมจากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทดแทนด้วยน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันและน้ำมันพืชคาโนล่า (Sunflower and canola seeds) การสร้างผลิตภัณฑ์วิตามินแร่ธาตุอาหาร (Micronutrients) ที่มีราคาไม่แพง ทำให้ Nestle’ ประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและได้ช่วยเหลือครอบครัวที่ขาดสารอาหารไปพร้อมกัน การปรับเปลี่ยนกระบวนการทางการตลาดของ Novartis ที่อินเดีย ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและการขยายเครือข่ายร้านขายยา พร้อม ๆ กับได้นำพายาและประโยชน์ที่เกิดขึ้นในระบบสาธารณสุขให้ประชาชนได้เข้าถึงมากถึง 42 ล้านคน ใน 33,000 หมู่บ้านภายในระยะเวลาเพียง 31 เดือน การจัดทำแผนรองรับการผลิตกาแฟที่ไม่พอต่อการส่งมอบของ Mars ที่ Ivory Coast โดยจัดให้มีการสร้างแนวร่วมความร่วมมือข้ามภาคส่วน (Cross-sector coalition) และชุมชนในพื้นที่ให้เปลี่ยนการผลิตจากพืชอื่นมาเป็นการปลูกกาแฟ และการอบรมครูให้มีความรู้มากกว่า 10 ล้านคนของ Intel เพื่อมุ่งไปสู่การสร้างผลลัพธ์ต่อการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาและจะส่งผลต่อธุรกิจของบริษัทในระยะถัดไป (Pfizer, Bockstette & Stamp, 2013)
Pfizer, Bockstette & Stamp (2013) ชี้ว่า “…ความสำเร็จข้างต้น เป็นผลมาจากการสร้างสรรค์โครงสร้างนวัตกรรมที่เหมาะสม เช่น (1) การเชื่อมโยงกับจัดการของบริษัทที่ชัดเจน (2) มีความคล่องตัวของหน่วยปฏิบัติงาน (3) การสนับสนุนและประสานงานของรัฐบาล (4) การสนับสนุนจากแหล่งทุนของพันธมิตร (5) การสร้างสรรค์ร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย (6) การขยายความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียที่ขยายเขตแดนออกไปจากห่วงโซ่ธุรกิจ (7) การพึ่งพาความรู้ความสามารถจากหน่วยงานอื่น…”
บทส่งท้าย
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ความเกี่ยวข้องระหว่างนวัตกรรม นวัตกรรมสังคม และการสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคม ต่างมีความเกี่ยวข้องกันและกันอย่างใกล้ชิด หนี่ง การสร้างสรรค์ความใหม่ เป็นเรื่องใหม่ทั้งคุณค่า และกระบวนการ หรืออาจจะรวมความไปถึง “ตัวผู้กระทำการ” (Actors) ที่เป็นผู้ลงมือดำเนินงาน ที่มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงรูปร่างการจัดการไปจากเดิม สอง การสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคม หรือ CSV นั้น ด้านหนึ่ง เป็นการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจที่นำไปสู่การสร้างผลลัพธ์ขึ้นพร้อมกันทั้งด้านธุรกิจ (ลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ สร้างรายได้ และความสามารถทางการแข่งขันธุรกิจและด้านสังคมที่ผู้บริโภคได้รับอรรถประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ และบริการโดยตรง รวมไปถึงการเข้าถึงโอกาสเพื่อการต่าง ๆ ของระบบและการยกระดับคุณภาพชีวิตและสังคมโดยรวม อีกด้านหนึ่ง CSV ก็คือ กลไกของการสร้างสรรค์นวัตกรรมสังคมไปพร้อมกันด้วยนั่นเอง
เรียบเรียงโดย
ดร.สุนทร คุณชัยมัง
อาจารย์ประจำ วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
25 เมษายน 2568
เอกสารอ้างอิง (References)
Prahalad, C.K. (2005). The Fortune at the Bottom of the Pyramid. USA: Wharton School Publishing.
Porter, E. & Kramer, M. (2002). The Competitive Advantage of Corporate Philanthropy. Harvard Business Review, 80(12), 56-68.
Porter, E. & Kramer, M. (2006). Strategy and Society: The Link Between Competitive Advantage and Corporate Social Responsibility. Harvard Business Review, 84, 78-85.
Porter, E. & Kramer, M. (2011). The Big Idea: Creating Shared Value. Harvard Business Review, 89(1-2): 2-17.
Pfizer, M., Bockstette, V. & Stamp, M. (2013). Innovative for Share Value. Harvard Business Review.
Shared Value Initiative. (2014). Shared Value Initiative: Consulting Affiliate Training. November 11-13, 2014.