The Third Industrial Revolution

          บทนี้ จะกล่าวถึงเนื้อหาของการแบ่งยุคสมัยของการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมตามปัจจัยขับเคลื่อนของพลังงาน (Energy) ตามข้อเสนอของ Jeremy Rifkin และกรณีตัวอย่างที่มีการพัฒนา Business model ขึ้นตามผลพวงของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะ Solar energy และ Electricity Vehicle โดยเฉพาะกรณีหลังนี้ได้เปลี่ยนแปลงผู่เล่นหน้าใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีจีนเข้าไปแทนที่ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

.

Background of Theories

แนวคิดว่าด้วย The Third Industrial Revolution เป็นผผลงานของการแบ่งยุคสมัยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมของ Jeremy Rifkin นักเศรษฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ชาวอเมริกันที่เผยแพร่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 ก่อนที่จะมีผลงานว่าด้วย The Fourth Industrial Revolution ของ Klaus Schwab ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของ World Economic Forum ที่สร้างผลงานเผยแพร่ในปี ค.ศ. 2016 ในขณะที่ Schwab แบ่งยุคสมัยการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่งด้วยเครื่องจักรไอน้ำที่ไปกระตุ้นให้มีการผลิตด้วยเครื่องจักร ครั้งที่สองด้วยฟ้าและระบบสายพานการผลิต ครั้งที่สามด้วยระบบดิจิทัลและคอมพิวเตอร์ และครั้งที่สี่ เป็นผลพวงของดิจิทัล คอมพิวเตอร์ และการทำงานตามระบบโครงข่าย/เครือข่ายอินเตอร์เน็ต Rifkin อธิบายการแบ่งยุคสมัยของการใช้พลังงาน เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง คือ ครั้งที่หนึ่ง เป็นยุคสมัยของถ่านหิน ครั้งที่สอง เป็นยุคสมัยของน้ำมัน และยุคที่สามเป็นยุคสมัยของพลังงานหมุนเวียนที่จะสร้างพลังของการเปลี่ยนแปลงคู่ขนานไปกับเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต สร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้นใน 5 มิติ คือ (1) สร้างธุรกิจใหม่ (2) การจ้างงานใหม่ (3) จัดระบบความสัมพันธ์ทางสังคมใหม่-เปลี่ยนระบบอำนาจจาก Hierarchy ไปสู่ Lateral power (4) สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจการค้า สังคม การศึกษา และ (5) สร้างการเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิตทางสังคม

.

New business in the Third Industrial Revolution

ในขณะที่ การอธิบายยุคสมัยปัจจุบันเป็น the Fourth Industrial Revolution โดยให้ความสำคัญต่อธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีฝังกาย (Implantable Technologies)-การเชื่อมต่ออุปกรณ์เทคโนโลยีจะไม่มีพียงแค่การสวมใส่ แต่จะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย (เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ), ตัวตนดิจิทัล (Our Digital Presence)-การทำงานของการปรากฏตัวตนของแต่ละคนในแพลตฟอร์มและสื่อออนไลน์ที่กำลังสื่อสารกับผู้คนต่างๆ, อินเตอร์เฟซด้วยการมองเห็น (Vision as the New Interface)-กูเกิลกลาสหรือแว่นกูเกิล แค่ช่องทางที่เพิ่มการสัมผัสและรับรู้ที่ช่วยเหลือคนพิการและเพิ่มอรรถรสใหม่สำหรับคนทั่วไป, เน็ตนุ่งได้ (Wearable Internet)-ความสามารถของช่องทางการเชื่อมโยงอินเตอร์เน็ตผ่านเสื้อผ้าที่สวมใส่ (ในลักษณะเดียวกับการสื่อสารผ่านนาฬิกา), อุปกรณ์คอมพิวเตอร์แพร่หลาย (Ubiquitous Computing)-คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตจะทำหน้าที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยสมบูรณ์, ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์แบบพกพาได้ (A Supercomputer in Your Pocket)-การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่จะสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นตามการเข้าถึงของสมาร์ตโฟน, ที่จัดเก็บข้อมูลเพื่อทุกคน (Storage foe All)-พื้นที่การจัดเก็บข้อมูลที่มีราคาถูกแบบไม่ใช่ต้นทุนที่เป็นปัญหา, อินเตอร์เน็ตของและเพื่อสรรพสิ่ง (The Internet of Things)-การเชื่อมโยงการใช้งานอินเตอร์เน็ตกับสิ่งต่าง ๆ ในราคาถูกที่ทุกคนสามารถใช้งานได้, บ้านต่อเน็ต (The Connected Home)-การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต คำสั่งการเข้ากับระบบ, เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities)-การเชื่อมต่อการใช้งานอินเตอร์เน็ตกับการควบคุมกำกับงานสาธารณูปโภค, บิ๊กดาต้าเพื่อการตัดสินใจ (Big Data for Decisions)-การปรับเปลี่ยนการจัดการข้อมูลจากการจัดเก็บสำรวจมาเป็นการทำงานของบิ๊กดาต้า, ยานยนต์ไร้คนขับ (Driverless Cars) ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการตัดสินใจ (Artificial Intelligence and Decision Making) ปัญญาประดิษฐ์กับงานออฟฟิศ (AI and White-Collar Jobs) วิทยาการหุ่นยนต์บริการต่าง ๆ (Robotics and Services) บิตคอยน์และบล็อคเชน (Bitcoin and the Blockchain) เศรษฐกิจแบ่งปัน (The Sharing Economy) รัฐบาลกับบล็อคเชน (Government and the Blockchain) การพิมพ์สามมิติกับการผลิต (3D Printing and Manufacturing) การพิมพ์สามมิติกับสุขภาพของมนุษย์ (3D Printing and Human Health) การพิมพ์สามมิติกับการผลิตเครื่องอุปโภคบริโภค (3D Printing and  Consumer Products) มนุษย์ออกแบบได้ (Designer Being) และประสาทเทคโนโลยี (Neuro technologies)

ด้วยความจำเป็นที่เป็นที่ต้องการของการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ๆ ข้างต้น ทักษะต่าง ๆ ของทรัพยากรมนุษย์ ก็จำต้องเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการใช้เหตุผล ทักษะเชิงระบบ การแก้ปัญหาที่สลับซับซ้อน ทักษะเนื้อหา ทักษะกระบวนการ ทักษะสังคม ทักษะการจัดการทรัพยากร ทักษะเทคนิค และความสามารถทางกายภาพ

ในขณะที่ Rifkin มุ่งไปยังการจัดการเชื้อเพลิงพลังงานที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อนหน้านั้น ต่างอาศัยถ่านหินและน้ำมัน ซึ่งล้วนแต่เป็นเชื้อเพลิงพลังงานที่มาจากฟอสซิล และสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และระบบธรรมชาติไปสู่พลังงานแบบหมุนเวียนและพึ่งพาความสามารถของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต การจัดการพลังงานใช้เองสำหรับครัวเรือน สำนักงานและโรงงาน และแบ่งปันการใช้งานไปยังผู้อื่นตามความสามารถของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต แนวคิดนี้ได้รับการขานรับไปแล้วโดย EU และพร้อมที่จะขยายไปยังภูมิภาคอื่นของโลก การดำเนินงานดังกล่าวนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้ที่มีความเข้าใจและผลักดันแนวคิดไปสู่การปฏิบัติทั้งภาครัฐ ผู้บริหารระดับสูงของเอกชน ผู้ประกอบการเพื่อสังคม และเอ็นจีโอ

Rifkin เห็นว่า อินเตอร์เน็ตและพลังงานหมุนเวียน คือ อำนาจที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ไปสู่อนาคตของศตวรรษที่ 21

.

New Energy

Wind, Solar energy เป็นแหล่งเชื้อเพลิงพลังงานที่คาดการณ์ว่าจะเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตตามข้อมูลของ International Renewable Energy Agency: IRENA โดยระบุว่าในปี ค.ศ. 2050 ไฟฟ้าจะใช้ทรัพยากรจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงการผลิตมากถึง 85% ในจำนวนนี้ จะมาจากแหล่งเชื้อเพลิง 2 แหล่งใหญ่ คือ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ การดำเนินงานให้เป็นไปตามการคาดการณ์ข้างต้น IRENA ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม และประเทศกำลังพัฒนา ปรับปรุงกรอบการดำเนินงาน พัฒนาทักษะ-ความสามารถ สร้างแนวปฏิบัติงาน จัดกลไกทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ และบทบาทที่เหมาะสมของรัฐ เป็นองค์กรที่ทำงานประสานความร่วมมือกับthe United Nations University, UNESCO, the World Bank, GEF, UNIDOUNDPUNEP, and WTO พร้อมกับผลักดันให้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จัดให้มี “นโยบายการจัดการพลังงานหมุนเวียน” (Renewable Energy Policy) นโยบายการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะ ความรู้ และความสามารถ รวมทั้งจัดให้มีองค์กรประสานงานที่เรียกโดยย่อว่า REN21

ดังนั้น การจัดการด้านทรัพยากรพลังงานภายใต้แนวทางของการเปลี่ยนแปลงข้างต้น การบริหารจัดต่าง ๆ นี้ ย่อมจะดำเนินควบคู่ไปกับเรื่องของการเปลี่ยนผ่านของ ICTs ที่ได้กล่าวถึงในบทก่อนหน้านี้ และมีความสอดคล้องกับการนำเอาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเข้ามาร่วมบริหารจัดการไปพร้อมกันด้วย

สำหรับผู้ที่เป็นผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมมากที่สุดของโลก มากกว่ายุโรปที่เคยเป็นผู้นำการผลิตไฟฟ้าจากภาคส่วนนี้ ในขณะที่บริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจพลังงานไฟฟ้าจากลม ที่สร้างรายได้มากหรือมีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก 10 ลำดับแรก คือ (1) Siemens (2) General Electric (3) Mitsubishi Heavy Industries (4) RWE Renewables (5) NextEra Energy (6) Vestas (7) Iberdrola Group (8) EDP Renewables North America (9) Renewable Energy Systems America (10) Suzlon โดยผู้ประกอบธุรกิจชั้นนำเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นกิจการของอเมริกาและยุโรป จะมีเพียงลำดับที่ 5 และ 10 เป็นเอเชีย คือ ญี่ปุ่น และอินเดีย ตามลำดับ

สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุดของโลก ก็คือ จีน รองลงไปเป็นอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี และอินเดีย ในขณะที่บริษัทเอกชนที่มีกิจการที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 10 ลำดับแรก คือ (1) NextEra Energy (2) First Solar (3) Enphase (4) Nextracker (5) Brookfield Renewable Partners (6) Clearway Energy (7) Ormat Technologies (8) Fluence Energy (9) Bloom Energy Corporation (10) Sunrun กิจการเหล่านี้โดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทของอเมริกา และยุโรป โดยมีประเทศอื่นเพียงแคนาดา และเยอรมนี ประเทศละบริษัท

แต่อย่างไรก็ตาม Solartech ซึ่งเป็นบริษัทของจีน ก็เป็นบริษัทที่นำเอาพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และพัฒนา Solar pump system แล้วจำหน่ายระบบเทคโนโลยีไปยัง 130 ประเทศทั่วโลก เพื่อใช้ปั๊มน้ำเพื่อการเกษตร การจัดการชลประทาน การกรองน้ำกร่อยและน้ำทะเล การจัดการทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ การควบคุมน้ำในพื้นที่แห้งแล้ง-ทะเลทราย

.

EV & the New Role of China

ปัจจุบัน สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประเทศที่มีการผลิตรถไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเลขการจำหน่ายรถไฟฟ้าในจีนในปี ค.ศ. 2022 มีจำนวนทั้งสิ้น 6.8 ล้านคัน เปรียบเทียบในสหรัฐอเมริกามียอดขายเพียง 0.8 ล้านคัน จีน มีบทบาทสำคัญในการผลิตรถไฟฟ้าทั้งประเภท BEV-Battery-only EVs และประเภท Plug-in Hybrid Electric Vehicles) มีส่วนแบ่งการผลิตมากถึง 58% และส่งออกมากกว่า 1.5 ล้านคันในปี ค.ศ. 2023 เป็นเจ้าของแบรนด์รถไฟฟ้าชั้นนำของโลกในปัจจุบัน เช่น BYD, CATL, CALB, Gotion, SVOLT, EVE Energy และมีบริษัทชั้นนำ เช่น BYD Auto และ SAIC Motor (2 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้ผลิตรถไฟฟ้าที่ครอบครองตลาดแบบ Plug-in market)

รัฐบาลจีนสนับสนุนอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า ทั้งเรื่องการยกเว้นภาษี การสนับสนุนการจัดหา และนโยบายจูงใจอื่น ๆ การส่งเสริมแบรนด์ท้องถิ่น เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สนองตอบความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งการรับการสนับสนุนจาก Tesla, งานวิจัยเรื่องแบตเตอรึ และเสียงสะท้อนจากการใช้งานของคนทั่วเอเชีย ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็คือ การจัดทำแผนครั้งที่ 15 – แผน 5 ปี สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรม NEV ที่กระจายบทบาทไปยังจังหวัดและเมืองต่าง ๆทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายการบรรลุผลในปี ค.ศ. 2025

ความสำเร็จของการสร้างอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าของจีน เป็นปรากฏการณ์ที่บ่งชี้ถึง Disruptive innovation ในหลายมิติด้วยกัน เช่น ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์มาจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี หรือญี่ปุ่น (ที่เป็นผู้ครอบครอง Internal-combustion engine innovation) ไม่ประสบการณ์จากการพัฒนา Gas engine เช่นญี่ปุ่น แต่รัฐบาลจีนพัฒนาและลงทุนไปกับพลังงานจากแบตเตอรีสำหรับรถยนต์ ในขณะที่เรื่องแบตเตอรีนี้เป็นวิวัฒนาการที่มีความต่อเนื่องของ GM และ Toyota แต่สำหรับจีนแล้วคือ การพัฒนาที่มาจากพื้นฐานที่ไม่มีความต่อเนื่องใดมาก่อน การพัฒนารถไฟฟ้าของญี่ปุ่น เป็นไปตามยุทธศาสตร์การใช้พลังงานแบบ Hybrid และบวกรวม Plug-in EV แต่กรณีของจีนมุ่งไปสู่ EVs ก็เพราะต้องการลดปัญหามลภาวะโดยรวม ลดการนำเข้าน้ำมัน และช่วยสร้างเศรษฐกิจขึ้นใหม่

รัฐบาลจีน เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Wan Gang ที่เคยร่วมงานกับ Audi มาก่อน 10 ปี หลังจากที่ Gang ได้ทดลองใช้ Tesla ในปี ค.ศ. 2008 นับจากปี ค.ศ. 2009 – 2020 รัฐบาลจีนทุ่มงบประมาณสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ไปทั้งสิ้น 1 ล้านล้านบาท โดยยังไม่รวมการยกเว้นภาษี รวมทั้งโอกาสของการเรียนรู้จากการรับจ้าง-ร่วมงานกับ Tesla ของ Gigafactory ที่เซี่ยงไฮ้ โดยสร้างผลลัพธ์ในความเชื่อถือของผู้บริโภคได้ใน 2 เรื่องด้วยกัน คือ หนึ่ง รถไฟฟ้าขายและใช้งานในจีน 6 ล้านคัน และยอดขายของโลกมากกว่า 50% เป็นรถยนต์ของจีน นอกจากนั้นยังสร้าง Brand BYD ให้เป็นคู่แข่งกับแบรนด์ชั้นนำที่ครองตลาดอยู่ คือ Tesla และทำให้ Shenzhen เมืองตอนใต้ของจีนเป็นเมืองแรกของโลกที่มีรถบริการสาธารณะเป็นรถไฟฟ้า

ประเด็นสำคัญของอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าแบบ EVs ไม่ได้อยู่ที่การออกแบบดีไซน์ หรือการประกอบรถ หรือความได้เปรียบเรื่องค่าจ้าง แรงงาน และทักษะช่าง แต่เป็นเรื่อง Battey cell ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการพลังงานและรถยนต์ EVs และมีต้นทุนคิดเป็น 40% ของต้นทุนรวม จีนได้ลงทุนกับเทคโนโลยีของตนเองที่เรียกว่า        Lithium Iron Phosphate Batteries-LFP technology ซึ่งมีความปลอดภัยและราคาถูกกว่า Lithium Nickel Manganese Cobalt-NMC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของตะวันตก บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรีของจีน เช่น Contemporary Amperex Technology Co, Limited- CATL รวมทั้งไปลงทุนในกิจการเหมืองที่ชิลี และออสเตรเลีย เพราะฉะนั้น การจัดการของจีน ไม่ใช่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาถูก แต่เป็นไปเพื่อสร้างความมั่นคงในการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมความได้เปรียบไปตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ

.

สรุป

จากตัวอย่างของธุรกิจใหม่ที่เป็นเศรษฐกิจของโลกอนาคต-การจัดการความยั่งยืน ทั้งเรื่องของพลังงานไฟฟ้า และ EVs ข้างต้น จะเห็นว่า อนาคตของเทคโนโลยีและการเป็นผู้นำธุรกิจในเรื่องของโรงไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ยังเป็นกิจการของอเมริกาและยุโรป มีเพียงอินเดีย และญี่ปุ่นที่เข้าไปเป็นผู้เล่นร่วมในกิจการไฟฟ้าจากลม โดยที่จีน สร้างความโดดเด่นจากการเทคโนโลยีของการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ไปจัดการพื้นที่แล้ง – เป็นตัวแบบของการจัดการทรัพยากรและพลังงานเพื่อสังคม แต่ในกรณีของ EVs จีน มีความโดดเด่นมาก จนกล่าวได้ว่ามีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ได้มากกว่า Tesla (กิจการเอกชนที่ล้ำหน้าของอเมริกัน) ด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มีบทบาทที่ล้ำหน้าจากการลงทุนและการสนับสนุนที่เหมาะสมของรัฐบาล รงมทั้งการท้าทายต่อ Brands ชั้นนำ

กล่าวได้ว่า อุตสาหกรรมรถไฟฟ้า EVs พร้อมเทคโนโลยี และ Brands ของจีน คือ กรณีเชิงประจักษ์ของการอุบัติขึ้นของเอเชีย (Emerging Asia) อย่างน้อยที่จีน ด้านหนึ่ง คือ ลดการนำเข้ารถยนต์จากตะวันตก และอีกด้านหนึ่ง คือ การส่งออกรถยนต์ที่มีความได้เปรียบในระยะยาว รวมทั้งมีการขยายการลงทุนออกไปยังประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซีย (Yang, 2023) อันเป็นสัญญาณใหม่ของการร่วมเดินทางไปพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการอยู่ร่วมกับโลกที่ยั่งยืนของประเทศพัฒนาใหม่ – ตัวอย่างของการก้าวพ้นไปจากประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อสังคม เหมือนกับพัฒนาการของระบบทุนนิยมที่เป็นมาในอดีตของศตวรรษที่ 20

.

อ้างอิง

สุนทร คุณชัยมัง. ตัวแบบนวัตกรรมธุรกิจ = Innovative business model. — ปทุมธานี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรังสิต, 2567. 165 หน้า.

…………….……

เรียบเรียงโดย ดร.สุนทร คุณชัยมัง ผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมและสร้างสรรค์ความรู้ (Innovation and Creativity in Knowledge Academy : ICIK) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

Categories: