นวัตกรรมธุรกิจ นวัตกรรมสังคม การสร้างสรรค์ และการขับเคลื่อนนโยบาย (ตอนที่ 1)

นวัตกรรมธุรกิจ นวัตกรรมสังคม การสร้างสรรค์ และการขับเคลื่อนนโยบาย

 ความสำคัญ

การทำความเข้าใจต่อเรื่องเทคโนโลยี นวัตกรรม การประกอบการ และการสร้างส่วนผสมใหม่เพื่อสร้างความสามารถใหม่เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ กระบวนการ และตัวแบบของการบริหารจัดการ ฯลฯ ตาม Chapter 1-2 จะพบเห็นมิติความเกี่ยวข้องของคำข้างต้นและนัยตามความหมายระหว่างคำและแนวคิดที่มีความเชื่อมโยงกันระหว่างเทคโนโลยี-นวัตกรรม-นวัตกรรมสังคม

เริ่มจาก “เทคโนโลยี” (Technology) ที่นิยามโดย John Kenneth Galbraith (1967) หมายถึง การปรับใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีของมนุษย์ (คำว่า techne เป็นคำที่ใช้สื่อสารกันมาตั้งแต่ยุคกรีก-หมายถึง งานฝีมือและศิลปะ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะเรื่องของเครื่องมือ เครื่องจักร และกลไก แต่รวมถึงการจัดการความรู้อีกมิติหนึ่งด้วย) คำ ๆ นี้ เป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในช่วงหลังของ 1970s คำต่อมาคือคำว่า “นวัตกรรม” (Innovation) ที่นิยามโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (National Innovation Agency: NIA) (2549) หมายถึง สิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ความรู้ และความคิดสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม และ“นวัตกรรมสังคม” ที่นิยามโดย Bureau of European Policy Advisors (BEPA)(2011) หมายถึง นวัตกรรมที่มุ่งเน้นตอบสนองต่อสังคม ทั้งที่เป็นจุดหมายท้ายสุดตามวัตถุประสงค์ของการทำงาน (Ends) และวิถีกระบวนการทำงานที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง (Means)

คำว่านวัตกรรมสังคม เป็นคำที่เกิดขึ้นพร้อมกับการตั้งคำถามต่อนัยที่แท้จริงของเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และนโยบายของธุรกิจและเศรษฐกิจ เป็นไปเพื่อการใดบ้าง หรือเป็นไปเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจริงหรือไม่? โดยเริ่มจากการประชุมทางวิชาการที่จัดขึ้นโดย A Conference at Ulriksdal Palace, Sweden by the International Federation of Institutes for Advanced Study (IFIAS) เมื่อปี ค.ศ. 1984 โดยมีหัวข้อ/บทความที่นำเสนอเรื่อง Social Innovations for Development การตั้งคำถามเหล่านี้ ได้ทำให้ Benoit Godin ได้ประมวลความเกี่ยวข้องกับคำเหล่านี้ไว้ในผลงานหนังสือ Handbook of Alternative Theories of Innovation ที่เผยแพร่ในปี 2021 โดย Godin ได้เชื่อมโยงคำว่า Innovation กับ Social และคำอื่น ๆ ที่เป็น Prefix, Suffix กับ Innovationทำให้คำว่า Innovation กับคำว่า Social Innovation กลายเป็นเรื่องที่อยู่กลุ่มคำเดียวกัน โดยที่นวัตกรรมสังคม ในที่นี้จะมุ่งเน้นไปยังการเปลี่ยนแปลงทางสังคม หรือการแก้ไขปัญหาสังคม อันเป็นผลมาจากการทำงานของเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการ และการขับเคลื่อนนโยบาย

นวัตกรรมสังคม ยังมีการให้นิยามอีกแบบหนึ่งที่ให้ความสำคัญต่อ Social means เป็นกลไกที่นำไปสร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น นิยามของ Carmen Parra Rodriguez (2013) ที่นิยามว่า นวัตกรรมสังคม คือ ความใหม่ของวิถีทางของการปฏิบัติการ กระบวนการ กฎ หรือสถาบันทางสังคมที่ไปพัฒนาและแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม หรือทำให้สิ่งที่ขาดแคลนถูกขจัดออกไปด้วยการจัดระเบียบหรือจัดให้มีการประสานงานทางสังคมแบบใหม่

การตั้งคำถามทางวิชาการที่มีต่อ Technology and Innovation ข้างต้น เป็นไปตามหลักของการจัดการความรู้ตาม “กรอบว่าด้วยทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง” (The Frame of Theory of Change) ที่เรียงลำดับตามความสัมพันธ์ระหว่าง “ความจำเป็น หรือประเด็นทางสังคม” (Needs or social problem) ที่ได้รับการรองรับหรือใช้ประโยชน์หรือจัดการแก้ไขโดยผลิตภัณฑ์ (Products) บริการ (Services) กระบวนการ (Processes) การจัดการในระบบตลาด (Markets) และการบริหารงานองค์กร (Organizations) ซึ่งเป็น Project intervention ที่มีรูปแบบการจัดการตามแบบแผนต่าง ๆ หากเป็นเรื่องของการจัดการทางเศรษฐกิจและบริหาร ก็จะมีความเกี่ยวข้องกับ Technology แต่หากเป็นไปตามแบบแผนของนวัตกรรมสังคม (ตามนิยามของ Rodriguez) Project intervention นี้ จะเป็นเรื่องของ “กระบวนการทางสังคม” (Social process) ที่มีประเด็นพิจารณาไปตามการปรับเปลี่ยนรูปร่าง (Reconfigured) ความสัมพันธ์ทางสังคม (Social relations) และพลังอำนาจ (Empowerment) อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมหรือนวัตกรรมสังคม จะถูกตั้งประเด็นคำถามถึง “ผลท้ายสุดของกระบวนการ” (Results) ที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีกรือกระบวนการทางสังคมเหล่านั้น ซึ่งในทางปฏิบัติมักจะมีการสังเคราะห์ผลดังกล่าว ตามมิติของความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิต (Outputs) ผลลัพธ์ (Outcomes) และผลการเปลี่ยนแปลง (Impact)

 

นวัตกรรมธุรกิจ

ในที่นี้ มีความประสงค์ที่จะกล่าวถึง “นวัตกรรมธุรกิจ” (Business innovation) หมายถึง นวัตกรรมที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ กระบวนการ และรูปร่างการจัดการธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ และเป็น Means ของการดำเนินธุรกิจที่นำไปสู่ความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competititveness) ดังตัวอย่างที่อธิบายถึง โครงการ World class suppliers ของ BHP การปรับเปลี่ยนกระบวนการวิจัยผลิตภัณฑ์และนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบตลาดของ P&G การจัดตั้งธุรกิจขึ้นใหม่บนพื้นฐานความก้าวหน้า/ความใหม่ด้านเทคโนโลยี (Intertet-Infrastructure) ของ Amazon, Airbnb และการขยายพื้นที่การพัฒนาธุรกิจออกไปจากรั้วโรงงาน/บริษัทให้ขยายไปตามพื้นที่ของห่วงโซ่ธุรกิจ เช่น การสร้างเครือข่ายร้านค้าชุมชนตาม Shakti Project ของ Unilever และการพัฒนางานจัดการความรู้สู่ชุมชนตาม Arogya Parivar ของ Novartis

 

การสร้างนวัตกรรมธุรกิจ How to create?

ในเบื้องต้น นวัตกรรมธุรกิจ เริ่มต้นขึ้นจากกระบวนการของการจัดการระบบความคิด ไม่ได้เกิดขึ้นแบบ ปิ๊ง/แว็บ ไม่ได้เกิดจากการคิดแบบฝันเฟื่อง ไม่มีที่มาที่ไป หรือเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์-บุญญาธิการ-มีความเป็นมาแต่ชาติปางก่อน ฯลฯ แต่มาจากส่วนผสมของระบบคิด ที่ประกอบด้วย (1) เป็นเรื่องของความต้องการของมนุษย์ (Desirable human) (2) มีความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี (Feasible technology) และ (3) อยู่รอดและเติบโตได้ในทางธุรกิจ (Viable business)

 

ที่ dSchool สถาบันวิจัยในสังกัดของ Stanford University สร้างสรรค์ขั้นตอนของระบบการคิดและการดำเนินงานที่นำไปสู่การสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นเป็นนวัตกรรม ที่เรียกว่า Design Thinking โดยมีการแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน คือ (1) Empathize (2) Define (3) Ideate (4) Prototype และ (5)Test

การค้นคว้าอย่างจริงจัง (Empathize) ขั้นตอนแรก เป็นกระบวนการเริ่มต้นของการประมวลข้อมูลอย่างจริงจังและหลายแง่มุม ทั้งจากการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง การนำผลข้อมูลจากการสะท้อนกลับต่าง ๆ มาร่วมพิจารณา การทำความเข้าใจในมิติต่าง ๆ ของประเด็นปัญหาและความสัมพันธ์ และการพิจารณาปัญหาแบบไม่ตัดสินอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแนวทางเบื้องต้น

การกำหนดกรอบ (Define) ขั้นตอนที่สอง เป็นการคิดเพื่อออกแบบงานที่จะทำ โดยเริ่มจากการอธิบายถึงลักษณะประเด็นปัญหาที่ดำรงอยู่ (Personas) มีความเกี่ยวข้องใครบ้าง อย่างไรบ้าง และเป็นไปในลักษณะใด โครงการที่จะทำมีวัตถุประสงค์เพื่อการใด-ไปแก้ตรงจุดใดของปัญหา (Role objectives) การตัดสินใจที่จะกำหนดกรอบของงานที่จะทำว่าจะครอบคลุมปัญหามากน้อยแค่ไหน จะทำเพียงบางส่วน บางเรื่อง หรือทำทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง (Decisions) เฉพาะเรื่องที่จะทำ/จะแก้ไขนั้น จะท้าทายต่อเรื่องใดบ้าง (หลัก-รองของเงื่อนไข) และประเด็นสำคัญคืออะไร (Pain Points)

การแสวงหาแนวคิด/แนวทาง (Ideate) ขั้นตอนที่สาม เป็นความต่อเนื่องจากการกำหนดลักษณะของประเด็นปัญหาและสภาพเงื่อนไขต่าง ๆ แล้ว ก็นำเอาประเด็นปัญหาตามกรอบที่กำหนดนั้น ไปสู่เวทีการระดมแนวคิดเพื่อแสงหาทางออกที่เหมาะสม เช่น การระดมความคิดเห็น การประเมินคุณค่าโดยรวม การแยกส่วนและการคำนึงการครอบคลุม ทางออกที่เหมาะสมและระบบการคิด และการเรียงลำดับงาน

การสร้างต้นแบบ (Prototype) ขั้นตอนที่สี่ เป็นเรื่องของการทำต้นแบบเพื่อนำเอาไปทดลอง เป็นรูปร่างจำลอง เป็นการเรียงลำดับเรื่อง การคงไว้ซึ่งการทำความเข้าใจได้ง่าย การพิจารณาเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวแบบเร็ว ๆ และการสร้างความเข้าใจง่าย ๆ ให้เป็นที่เข้าใจในวงกว้างเป็นเบื้องต้น

การทดสอบ (Test) ขั้นตอนที่ห้า เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการคิด การทดลองทำ-ต้นแบบ เป็นการนำเอาต้นแบบนั้นไปทดสอบในพื้นที่ทางการตลาดที่มีการปะทะสังสรรค์กับผู้บริโภค และระบบธุรกิจในภาคสนามจริง เพื่อทำความเข้าใจในอุปสรรค กระบวนการของงาน บทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เหมาะสม และการสื่อสารความรู้ความเข้าใจเบื้องต้น

กระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรมตามตัวแบบของ Design Thinking ข้างต้น ได้ถูกวิพากษ์จากการทำงานในภาคสนามของ Young Foundation และ NESTA ซึ่งเห็นว่า กระบวนการตามขั้นตอนข้างต้นนั้น เหมาะที่จะใช้อธิบายถึง “สิ่งประดิษฐ์” (Invention) มากกว่า เพราะขั้นตอนของการทดสอบ ยังไม่ใช่ขั้นตอนของการแสดงการยอมรับของผู้บริโภค หรือแสดงถึงความสามารถในการบรรลุผลของการแก้ปัญหา Young Foundation และ NESTA จึงเสนอให้พิจารณาถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมขึ้นตามลำดับขั้นแบบขดก้นหอย (Innovation spiral) โดยมี 7 ขั้นตอน คือ (1) Opportunities & challenges (2) Generating idea (3) Developing & testing (4) Making the case (5) Delivering & implementing (6) Growing & scaling (7) Changing systems

 

กล่าวได้ว่า The Innovation Spiral ของ Young Foundation และ NESTA นั้น หนึ่ง ได้ยุบรวม 5 ขั้นตอนของ Design Thinking ลงเหลือ 3 ขั้นตอนแล้วเรียกชื่อใหม่ ที่จะต่างออกไปก็ในขั้นตอนที่ 4 ที่เป็นการเติมเข้าไปใหม่ เป็นขั้นตอนของการผลิต-ผลิตภัณฑ์ จัดสร้างงาน-บริการ และจัดทำระบบ-กระบวนการ ฯลฯ ซึ่งเป็นการแสดงถึง “สิ่งใหม่/ความใหม่” ที่พร้อมให้บริการตอบสนองต่อผู้บริโภคแล้ว

ขั้นตอนที่ 5 เป็นการส่งมอบผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นต่อผู้บริโภค หรือนำเอากระบวนการจัดการหนึ่ง ๆ นั้น ไปแก้ปัญหาในพื้นที่ทางสังคม เพื่อให้บรรลุผล และสร้างการยอมรับ หากได้รับการยอมรับ ก็ย่อมจะได้มีการขยายผลออกไปในพื้นที่อื่นในวงกว้างออกไป แต่หากไม่ได้รับการยอมรับ ก็มีทางเลือก 2 ทาง คือ หนึ่ง นำกลับมาพัฒนาอีกครั้งหนึ่งแล้วนำออกไปสู่ระบบตลาดใหม่ สอง ยุติการผลิต และการบริการ

ขั้นตอนที่ 6 เป็นขั้นตอนต่อเนื่องจากการที่ผลิตภัณฑ์และบริการนั้นได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์และบริการนั้นจะขยายตัวออกไปสู่วงกว้าง และกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ปัญหาความต้องการทางสังคมในเรื่องนั้น ๆ ได้รับการตอบสนองโดยผลิตภัณฑ์และบริการแล้ว เช่น การสร้างความรู้เบื้องต้นเรื่องยา โรค/การเจ็บป่วย และการรักษาสุขภาพของ Parivar Arogya ทำให้ยอดขายของบริษัทมีความเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น หรือการให้บริการห้องพักของ Airbnb ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและสามารถแข่งขันได้กับบริการของโรงแรม จึงทำให้บริการของบริษัทขยายตัวออกไป

ขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ประมวลผลของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบการผลิต ระบบการบริการ ว่า สิ่งใหม่/ความใหม่ที่มีการสร้างสรรค์ขึ้น และได้รับการยอมรับจากระบบตลาดในวงกว้างนั้น ได้เปลี่ยนแปลงระบบใดบ้างไปจากเดิม เช่น ระบบการผลิต ระบบการทำงาน ระบบการจ้างงาน ระบบตลาด ระบบการเงิน และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ฯลฯ เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบการวิจัยของ P&G ทำให้บริษัทได้ปรับเปลี่ยนระบบงานจากการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยตนเองไปสู่ระบบงานแบบความร่วมมือและการสร้างหุ้นส่วนพันธมิตร

อ้างอิง

สุนทร คุณชัยมัง.

ตัวแบบนวัตกรรมธุรกิจ = Innovative business model. — ปทุมธานี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรังสิต, 2567. 165 หน้า.

…………….……

เรียบเรียงโดย

ดร.สุนทร คุณชัยมัง

ผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมและสร้างสรรค์ความรู้
(Innovation and Creativity in Knowledge Academy : ICIK)
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

Categories: